หากมองย้อนกลับไปคำว่า "บ้านเรียน" สำหรับครอบครัวเราถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ เราก็มีกิจกรรมต่าง ๆ นานา หลากหลายในทุกวัน ดังนั้น จึงเป็นความอบอุ่น ความสุข ความสนุกของเด็ก จึงไม่แปลกที่จะมีภาพต่าง ๆ อยู่ในความทรงจำ
จนกระทั่่งเมื่อลูกอยู่ในวัยอนุบาล ก็ได้พูดเล่าถึงโรงเรียนของพ่อกับแม่ การใช้ชีวิตในโรงเรียนของพ่อกับแม่ตอนเด็ก ๆ ให้ฟังเสมอ พอ ๆ กับการเล่าเรื่องของบ้านเรียนให้ลูกฟัง ซึ่งเราได้ฉายภาพให้ลูกได้เห็นเพื่อที่ว่าตัวเขาเองจะได้เรียนรู้การตัดสินใจที่จะเลือกระหว่างจะเข้าอนุบาลในระบบ กับ เลือกจะทำบ้านเรียน
ในที่สุดลูกบอกว่าอยากไปโรงเรียน จะได้เล่นกับเพื่อน พ่อกับแม่ก็พาลูกไปดู ไปสัมผัสที่โรงเรียนก่อนเพื่อให้ดูว่าโรงเรียนไหนที่อยากอยู่ และลูกก็เลือกโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง แต่ในความเชื่อของแม่และได้คุยกับพ่อ คือ ถ้าลูกอยากทำบ้านเรียนเขาจะเดินเข้ามาบอกเราเอง จากนั้นพ่อกับแม่ก็ไปดำเนินการติดต่อสมัคร ชำระค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ และอื่น ๆ จนกระทั่่งเปิดเทอมแรกก็พาไปโรงเรียน ปรากฎว่าวันแรกร้องไห้..แต่ก็ยังยอมไปโรงเรียนอยู่ สัก 3-4 วันก็ชิน ไม่ร้องแล้ว แต่จะมีมาบอกว่าที่ร้องเพราะคิดถึงพ่อกับแม่นิด ๆ หน่อย ๆ ในทุก ๆ วันเด็กจะกลับมาเล่าชีวิตในโรงเรียนให้ฟังทุกวัน...และสักอาทิตย์ต่อมาก็เริ่มบอก เริ่มถามแม่ว่า แม่ครับลูกไม่ไปโรงเรียนได้มั้ย แม่ทำบ้านเรียนให้ลูกได้มั้ย แม่สอนลูกได้มั้ย...แม่ก็รับฟัง แล้วก็ถาม ๆ แต่ยังไม่แน่ใจอะไรบางอย่างในความคิดของลูก แม่ก็จะไปรับลูกทุกวันเร็วกว่าเค้าเพื่อน เพื่อจะได้สังเกตความเป็นไป พฤติกรรมของลูกในชั้นเรียนด้วย
จากนั้นสักไม่กี่วันลูกป่วย ซึ่งปกติไม่ค่อยจะป่วยนัก ถ้าป่วยก็ 3-5 วันก็หาย แต่นี่ ป่วย แล้วหายแล้วป่วยแล้วหายอยู่ 3 รอบ พ่อกับแม่ก็เลยตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับครูที่สอน ก็ได้คำตอบอะไรหลายอย่างที่นำไปสู่การตัดสินใจตามที่ลูกร้องขอ
ณ วันนี้ เราได้เริ่มทำบ้านเรียนที่เป็นกิจลักษณะมากกว่าเดิม แต่ยังไม่เป็นทางการ ซึ่งแม่ก็ได้ศึกษาการจัดทำแผนบ้านเรียนเพื่อรอปีการศึกษา 2559 ก็จะไปดำเนินการจดทะเบียนบ้านเรียนกับสำนักงานเขตการศึกษา เขต 2 หาดใหญ่
กับวันนี้เราได้ใช้ชื่อบ้านเรียนว่า "บ้านเรียนลูกลม" เพื่อการเรียนรู้ในช่วงวัยอนุบาล มันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของครอบครัวเราจริง ๆ ....